เป็นตอนที่ 2 แล้ว สำหรับ สกู๊ปซีรีส์ คดีคนดัง ตอนนี้ "ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์" จะพาคุณผู้อ่านย้อนรอยถึงบุคคลในข่าว อีก 2 คดี ซึ่งคดีแรก เป็นคดี "คนหาย" ที่สงสัยว่าเป็น "ฆาตกรรม" โดยมีการอำพราง ซ่อนเร้น ร่างผู้เสียชีวิต เกี่ยวข้องกับคนมีชื่อเสียง และขณะนี้ ผู้ต้องหาได้ตัดสินใจ "หลบหนี" ส่วนอีกคดีเป็นเรื่องของผู้มีอิทธิพล ค้าของเถื่อน ซึ่งผู้ถูกกล่าวหาคนสำคัญ ไม่รู้ว่าอยู่ที่ใด
หมอสุพัฒน์ กับคดีอุ้มฆ่า 2 ผัวเมีย "นุ่มจุ้ย"
คดีการหายตัวของ นายสามารถ นุ่มจุ้ย และ น.ส.อรษา เกิดทรัพย์ สองสามีภรรยาชาวไร่สับปะรด ในพื้นที่ สภ.ท่าไม้รวก อ.ท่ายาง จ.เพชรบุรี เริ่มถูกแกะรอยและคุ้ยค้น เมื่อช่วงกันยายน 2555 นายสว่าง นุ่มจุ้ย อายุ 55 ปี พ่อของนายสามารถ ไปพบรถกระบะโตโยต้า รุ่นไทเกอร์ สีบรอนซ์ทอง ทะเบียน บฉ 5960 ของลูกชายและลูกสะใภ้ ถูกจอดทิ้งอยู่ที่บ้านร้างเลขที่ 125/53 ภายในซอยกรุงเทพ-นนท์ 1 ต.บางเขน อ.เมืองนนทบุรี ของนางถนิม เลาหะวัฒนะ แม่ของ พ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ เลาหะวัฒนะ นพ.สบ. 5 กลุ่มงานเวชศาสตร์และครอบครัว รพ.ตำรวจ
อรษา เกิดทรัพย์
สามารถ นุ่มจุ้ย
พ่อของนายสามารถ ได้เข้าร้องเรียนและขอความเป็นธรรมเพื่อให้คดีเดินหน้า กระทั่ง ตำรวจภูธรภาค 7 ได้ขอหมายค้นไร่และบ้านพักของ "หมอสุพัฒน์" และพบอาวุธปืนพกสั้น มากมายถึง 42 กระบอก กับเครื่องกระสุนจำนวนมาก นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ยังพบถุงปุ๋ยใส่กระดูกมนุษย์ 2 ถุง โดยขุดได้ห่างจากตัวบ้านประมาณ 800 เมตร โดยจุดที่พบอยู่ใกล้กับกอไผ่ ติดกับคลองส่งน้ำขนาดเล็ก ลึกประมาณ 2 เมตร ทั้งนี้ ถุงใบแรกมีกะโหลกมนุษย์ ซี่โครงท่อนบนสภาพเก่า และมีซิปเสื้อติดอยู่ ส่วนถุงปุ๋ยใบที่ 2 เป็นโครงกระดูกท่อนล่างจากสะโพกถึงขา และเสื้อผ้า เบื้องต้น ยังระบุไม่ได้ว่าเป็นใคร แต่นายสว่าง ก็เชื่อว่าเป็นศพลูกชาย เพราะจำเสื้อที่ลูกชายใส่ได้
เมื่อพบหลักฐานดังกล่าว จึงมีการออกหมายจับหมอสุพัฒน์ พร้อมกับ น.ส.วิลสา จันทรบัญชร ภรรยาคนที่ 3 ในข้อหากักขังหน่วงเหนี่ยว ทำให้ผู้อื่นขาดอิสรภาพ ร่วมกันลักทรัพย์ฯ และครอบครองอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต
ต่อมาเจ้าหน้าที่ได้ไปค้นที่คลินิกพัฒนแพทย์ ที่บริเวณซอยเพชรเกษม 31 ในเขตภาษีเจริญ ก็ได้พบ นายเอก เลาหะวัฒนะ ลูกชาย พ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ ซึ่งที่คลินิกดังกล่าวไม่พบสิ่งผิดกฎหมาย แต่ก็พบปืนยาวแบบสไนเปอร์ติดลำกล้อง ขนาด 7.65 มม. ปลอกกระสุนปืนขนาด .38 กว่า 500 ปอก และปลอกกระสุนขนาด 7.65 มม. อีกจำนวนหนึ่ง
สุพัฒน์ เลาหะวัฒนะ
กระทั่ง หมอสุพัฒน์ ถูกจับได้ที่รีสอร์ตแห่งหนึ่ง ริมชายหาดปึกเตียน จ.เพชรบุรี พร้อมกับให้การว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการหายตัวของสองผัวเมีย "นุ่มจุ้ย" อ้างว่าถูกนายสุเทพ เลาหะวัฒนะ พี่ชายใส่ร้าย เพราะมีความขัดแย้งเรื่องมรดก ที่ผ่านมา นายสุเทพ ได้เคยให้ข้อมูลกับเจ้าหน้าที่ด้วย และยืนยันว่าไม่เคยมีปัญหาเรื่องมรดก ตามที่หมอสุพัฒน์ให้การ
จากนั้น นายสว่าง นุ่มจุ้ย ได้เข้าแจ้งความดำเนินคดีกับหมอสุพัฒน์ ในข้อหาฆาตกรรมลูกชาย ตำรวจ สภ.ท่าไม้รวก ได้นำหมอสุพัฒน์ไปฝากขัง และคัดค้านประกันตัว นอกจากนี้ ยังมีคำสั่งให้หมอสุพัฒน์ ออกจากราชการไว้ก่อนด้วย
อย่างไรก็ดี จากการตรวจดีเอ็นเอ จากโครงกระดูกที่พบในไร่หมอสุพัฒน์ ไม่ตรงกับ นายสามารถ และ นางอรษา โดยพบว่าเป็นเพศชาย 2 คน อีก 1 คน ไม่สามารถระบุเพศได้
วิลสา จันทรบัญชรกับหมอสุพัฒน์
5 ตุลาคม 2555 พ.ต.อ.ชวน ชิตประเสริฐ ผกก.3 บก.สสภ.7 นำกำลังเข้าไปจับกุม น.ส.วิลสา ภรรยาคนที่ 3 ของหมอสุพัฒน์ ที่บ้านพักย่านคลองชักพระ เขตตลิ่งชัน กทม. ในข้อหาเดียวกับหมอสุพัฒน์ ซึ่ง น.ส.วิลสา ให้การว่า วันเกิดเหตุ พ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ ไปรับตัวนายสามารถ และภรรยา เข้ามาในไร่ แล้วมีเสียงปืนดังขึ้น แต่ไม่เห็นเหตุการณ์
ในเวลาต่อมา คณะแพทย์ฯ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ แถลงผลตรวจพิสูจน์โครงกระดูกทั้ง 3 โครง เป็นเพศชาย ตรวจพบรูกระสุนบริเวณกะโหลกศีรษะ 2 โครง ส่วนโครงที่ 3 ไม่มีร่องรอยกระสุนปืน และผลตรวจดีเอ็นเอยืนยันว่า 1 ใน 3 โครงกระดูก คือ นายอีต้า ชาวพม่า คนงานในไร่ของหมอสุพัฒน์
กระทั่งพนักงานสอบสวนสรุปสำนวนสั่งฟ้อง จากนั้น อัยการจังหวัดเพชรบุรี ก็มีความเห็นสั่งฟ้อง หมอสุพัฒน์ และ น.ส.วิลสา ในคดีลักทรัพย์รับของโจร ส่วนคดีกักขังฯ มีความเห็นไม่สั่งฟ้องเนื่องจากหลักฐานไม่เพียงพอ
27 พ.ย.55 ศาลอุทธรณ์ภาค 7 มีคำสั่งปล่อยตัวชั่วคราว น.ส.วิลสา หลังจากมียื่นประกันตัว เป็นเงินสด 3 แสนบาท
เจ้าหน้าที่ขุดค้นไร่หมอสุพัฒน์
ต่อมา พนักงานสอบสวน สภ.ท่าไม้รวก ได้มีความเห็นสั่งฟ้อง หมอสุพัฒน์ นายเอก และ นายอัคร เลาหะวัฒนะ ลูกชาย ฐานความผิดร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ร่วมกันพยายามฆ่า ฝัง ปิดบังซ่อนเร้นศพคนงานชาวพม่า หรือเหตุแห่งการตายและกระทำการใดๆ แก่ศพเพื่ออำพราง โดยส่งความเห็นดังกล่าว ไปมอบให้อัยการจังหวัดเพชรบุรี กระทั่งอัยการจังหวัดเพชรบุรี ได้สั่งฟ้อง หมอสุพัฒน์ และลูกชายทั้งสอง คน กรณีฆ่านายอีต้า ร่วมกันมีอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต ร่วมกันพกพาอาวุธปืนไปในที่สาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต และสั่งฟ้องหมอสุพัฒน์ เพิ่มอีก 1 ข้อหา คือ ข้อหาค้ามนุษย์
อย่างไรก็ตาม 11 ก.ค.56 ศาลอุทธรณ์ได้มีคำสั่งปล่อยตัวชั่วคราว หมอสุพัฒน์ เนื่องจากเห็นว่ามีอาชีพเป็นหลักแหล่ง แต่สุดท้าย 10 ก.พ.58 หมอสุพัฒน์ ไม่มาขึ้นศาล หลังจากขอเลื่อนนัดมาแล้ว 1 ครั้ง เพราะอ้างว่าตกบันได มีเพียงลูกชายทั้งสอง และ น.ส.วิลสา ที่ให้การว่า "ไม่ทราบ" ว่าทำไม หมอสุพัฒน์ ถึงไม่มา ทางศาลจึงมีความเห็นว่าหมอสุพัฒน์ มีพฤติกรรมหลบหนี จึงคำสั่งให้ออกหมายจับ และยึดหลักทรัพย์ที่ขอประกันตัว จากนั้นได้เลื่อนอ่านคำพิพากษา ไปวันที่ 25 มี.ค.นี้
แม้การหายตัวของ ผัวเมียนุ่มจุ้ยยังคงเป็นปริศนา แต่อย่างน้อยก็สามารถหาร่างของ 3 ชีวิต ที่ถูกทิ้งไว้ในไร่ของ "หมอสุพัฒน์" ได้ โดยที่เจ้าของไร่ ก็จงใจหายสาบสูญไปเอง
สหชัย เจียรเสริมสิน หรือเสี่ยโจ้
เสี่ยโจ้ ผู้ค้าน้ำมันรายใหญ่ภาคใต้ โยงส่วย "บิ๊กกิ๊ก"
ส่วนผู้ต้องหาอีกราย ที่ไร้ร่องรอย แม้จะมีการประกาศรางวัลนำจับ 1 ล้านบาทแล้วก็ตาม คือ เสี่ยโจ้ หรือ นายสหชัย เจียรเสริมสิน พ่อค้าน้ำมันรายใหญ่ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยแรกเริ่มเดิมทีได้เริ่มต้นทำธุรกิจแพปลา ก่อนจะต่อยอดด้วยธุรกิจต่างๆ อย่างครบวงจร เสี่ยโจ้ เคยถูกเจ้าหน้าที่บุกจับในข้อหาค้าไม้เถื่อน และถูกกล่าวหาปมก่อความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ แต่เขาก็ออกมาปฏิเสธ ว่าไม่เกี่ยวข้อง
ที่ผ่านมา บัญชีส่วย ของเสี่ยโจ้ ได้ถูกเผยแพร่ทางสื่อต่างๆ ซึ่งบัญชีเหล่านี้ มีชื่อของเจ้าหน้าที่รัฐหลายหน่วยงานมาเกี่ยวข้อง กระทั่งเมื่อรัฐบาล คสช. ยึดอำนาจ และมีการดำเนินการกับ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีต ผบช.ก. ในข้อหาหมิ่นสถาบัน และเรียกรับผลประโยชน์ ชื่อของ "เสี่ยโจ้" ก็กลับมาแพร่สะพัดบนหน้าสื่ออีกครั้ง
จับเรือดัดแปลงที่ใช้ขนน้ำมัน
ขณะที่ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร. ได้ประกาศรางวัลนำจับ 1 ล้านบาท ให้กับผู้ที่แจ้งเบาะแสนำไปสู่การจับกุม แต่ถึงวันนี้ "เสี่ยโจ้" ก็ยังไร้ร่องรอย ที่ผ่านมา มีรายงานว่าเขา ได้หลบหนีไปที่ประเทศกัมพูชา
ทั้งนี้ ในทั้ง 2 คดี มีความคล้ายคลึงกันตรงที่ ผู้ต้องหารายสำคัญ ได้ฉวยจังหวะหลบหนี ทำให้คดียังคงค้าง ไม่สามารถปิดได้
หางานตามสาขาอาชีพ
JOBBKK.COM © สงวนลิขสิทธิ์ All Right Reserved
jobbkk มีเพียงเว็บเดียวเท่านั้น ไม่มีเว็บเครือข่าย โปรดอย่าหลงเชื่อผู้แอบอ้าง และหากผู้ใดแอบอ้าง ไม่ว่าทาง Email, โทรศัพท์, SMS หรือทางใดก็ตาม จะถูกดำเนินคดีตามที่กฎหมายบัญญัติไว้สูงสุด